การปีนเขา คือ กิจกรรมหนึ่งที่ต้องใช้แรงการแรงใจในการเดินทางไกลหรือขึ้นที่สูงชันในระยะเวลานานๆ การเดินป่าปีนเขาแต่ละทีมันก็ไม่ใช่จะสบาย เหงื่อไหลไคลย้อย รบกวนเข่า ลำบากเท้าเป็นประจำ จนบางคนก็พูดกับฉันว่า “วันๆ ทำงานก็ปวดหัวเหนื่อยสมอง ยังจะไปเดินให้ลำบากอีกทำไม”
แต่ฉันกลับรู้สึกรักกิจกรรมการเที่ยวแบบนี้มาก อาจเป็นเพราะฉันได้ประโยชน์จากมันและเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างระหว่างทาง จนทำให้ติดใจไปแล้ว
1. ได้ออกกำลังกาย
แน่นอนว่าการเดินขึ้นทางลาดชันเป็นระยะทางกว่าหลายกิโลเมตร มันเรียกเสียงหอบและเขย่าเหงื่อออกจากร่างกายเราได้ดีทีเดียว เป็นที่มาที่เหตุผลดีๆ เหตุผลแรกที่ทำให้การปีนเขามันดีต่อร่างกาย
ถึงแม้ตอนเหนื่อยมากๆ กว่าจะก้าวได้แต่ละที อย่างกับโดนใส่สายรัดถ่วงน้ำหนักที่ข้อเท้าไว้ทั้งสองข้าง หรือจะตอนกระชุ่มกระชวยวิ่งขึ้นเอาๆ ไม่ว่าอย่างไหนก็ได้ออกกำลังกายด้วยกันทั้งนั้น แต่การออกกำลังกายด้วยการเดินป่าปีนเขา มันไม่น่าเบื่อเหมือนออกอยู่ในฟิตเนส
2. ได้เปลี่ยนบรรยากาศ ใกล้ชิดธรรมชาติ
เราสามารถออกกำลังกายที่ไหนก็ได้ แต่ถ้าต้องการเอาตัวเองออกจากที่เดิมๆ เช่น ออฟฟิศหรือโต๊ะทำงานที่มีแต่มรสุม การเดินป่าปีนเขาจึงเป็นอีกทางเลือกที่ทำให้เราได้เห็นสิ่งต่างๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตลอดทาง เดี๋ยวเจอต้นไม้เล็ก เดี๋ยวเจอต้นไม้ใหญ่ เดี๋ยวออกไปเจอทางโล่งสุดล่าฟ้าเขียว หรืออาจตื่นเต้นในบางทีที่ได้ยินเสียงขลุกขลักกลางป่า...
3. ได้ท้าทายตัวเอง
การได้ออกไปทำอะไรแก้เบื่อ คงจะดีกว่าการนอนซังกะตายแล้วพร่ำบอกว่าชีวิตตัวเองไม่มีความหมาย การท้าทายตัวเองด้วยการออกไปปีนเขานี่แหละคือสิ่งที่ฉันเลือก! การได้ท้าทายความสามารถ สติ พละกำลังของตัวเองอยู่เสมอ ฉันเชื่อว่ามันทำให้เราเด็กอยู่ตลอดเวลา
เด็กในที่นี้ไม่ได้หมายถึงนิสัยเหมือนเด็กไม่รู้จักโต แต่หมายถึงพลังงานในตัวเรา ที่มันจะกระปรี้กระเปร่าอยู่เสมอต่างหาก การออกไปปีนเขามันทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวา มีกำลังใจไว้ลองทำอะไรใหม่ๆ ในอนาคตได้อีกเรื่อยๆ
4. ได้อยู่กับตัวเอง อยู่กับปัจจุบัน
มีหลายคนบอกว่าการเดินป่าปีนเขา ทำให้ได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น อันนี้ฉันเห็นด้วยล้านเปอร์เซ็นท์เลย เพราะยิ่งเดินยิ่งเหนื่อย ยิ่งเหนื่อยยิ่งหอบ ยิ่งหอบยิ่งไม่มีเวลาจะไปคิดถึงเรื่องอื่น นอกจากจะคิดว่า "จะไม่ไหวแล้ว เมื่อไหร่จะถึงซะทีโว้ยยย!"
ในหัวคิดแต่ว่า กระเป๋าหนักจัง… ปวดขาจัง… หิวน้ำจัง… ทุกอย่างที่คิดในหัวล้วนแต่เป็นความรู้สึก ณ ขณะนั้นทั้งนั้นเลย สรุปคือ ยิ่งเดินเหนื่อยยิ่งได้อยู่กับตัวเอง ยิ่งได้อยู่กับตัวเองก็คือการยิ่งได้อยู่กับปัจจุบัน หอบแฮ่กซะขนาดนั้นจะเอาเวลาที่ไหนไปคิดเรื่องอื่นอีกล่ะเนอะ
5. ได้เห็นคุณค่าในสิ่งที่เคยละเลย
ที่มาของคำว่า “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” ไม่ได้เป็นแค่เพลง และไม่ได้หมายถึงอุณหภูมิอีกต่อไป แต่ยิ่งสูงยิ่งหนาวในที่นี้คือ เห็นราคาข้าวของที่ขายบนที่สูงแล้วรู้สึกหนาวสะท้านสะเทือนใจซะเหลือเกิน!
ราคาน้ำอัดลมหรือขนมพากันเด้งขึ้นสามสี่เท่าตัวตามความยากลำบากในการขนส่ง นอกจากราคาที่ขูดเลือดกรีดเนื้อแล้ว กว่าจะเดินไปถึงร้านขายของชำสักหนึ่งร้าน มันช่างลำบากยากเข็น ในบางที่ต้องใช้เวลาข้ามเขาเป็นลูกๆ กว่าจะเจอสักหนึ่งร้าน
ระหว่างเดินเขาแห่งหนึ่ง แฟนเคยหันมาคุยด้วยว่า "ฉันว่าคอนโดฯ ที่เราอยู่มันโคตรสบายเลย เตียงก็นิ่ม เซเว่นฯ ก็ใกล้ อยากกินอะไรก็ได้กินเนอะ"
ฉันนี่เห็นด้วยอย่างแรง ตอนนั้นเราก็ไม่เคยมองเห็นว่าสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว มันดีมากขนาดไหน มารู้ก็ตอนเอาตัวเองมาอยู่ในที่ที่โคตรลำบาก ถุงนอนก็ต้องแบกมาเอง น้ำเปล่าก็ต้องกระมิดกระเมี้ยนแบ่งกันจิบทีละนิดเพราะมันแพง บางทีก็ไม่ได้อาบน้ำ เวลาหนาวมากๆ ฮีทเตอร์ก็ไม่มีใช้อีก
แต่พอกลับมาบ้าน เออ... ทุกอย่างมันสะดวกสบายไปหมด ทั้งๆ ที่สถานที่และสิ่งของทุกอย่างมันก็เหมือนเดิม แต่เป็นความคิดของเราเองที่มองมันเปลี่ยนไป
6. ได้เปิดโลก มีมุมมองแง่บวกมากขึ้น
คนเรามักมีช่วงที่ยากลำบากทุกข์ใจด้วยกันทั้งนั้น แต่อยู่ที่ว่าเราจะดึงตัวเองออกมาจากหลุมดำนั้นได้หรือเปล่า บางครั้งเราก็เผลอเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ทั้งที่ก็รู้ว่ามันบั่นทอนตัวเราเอง แต่พอฉันเริ่มไปเดินป่าปีนเขามากขึ้น ฉันได้รู้ว่าภูเขาแต่ละลูกมันไม่เหมือนกัน
ทางเดินต่างกัน ความสูงก็คนละระดับ ยิ่งถ้าเพิ่งเริ่มปีนเขามือใหม่ ยิ่งรู้สึกเหนื่อยยากเหลือเกิน บางที่เราเดินขึ้นเขาครึ่งวันก็ถึงยอดแล้ว ส่วนบางที่ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะถึงยอดเขา ในขณะที่การปีนเขาฟูจิ ถึงแม้ว่าจะเดินแค่ครึ่งวันก็ถึงยอด แต่กลับไม่มีร่มไม้ให้พักพิงระหว่างทาง ยิ่งถ้าปีนเขาหน้าฝนก็ต้องคอยระวังตัวทากมากัด แต่บางที่กลับแห้งแล้งจนฝุ่นคลุ้งอัดเต็มรูจมูก ในขณะที่การเดินป่าหน้าหนาว ก็ทำให้เราต้องอดทนกับความหนาวเย็น
บางครั้งเราอยากจะไปให้ถึงไวๆ เหมือนภูเขาลูกก่อนๆ ที่เราเคยทำได้สำเร็จ แต่กับจุดหมายใหม่ที่เราต้องพิชิต มันไม่มีทางลัด ต้องเดินอ้อมเขาทีละลูกๆ ไปเรื่อยๆ จึงจะถึงที่หมายได้สำเร็จปลอดภัย
พอมาตกตะกอนคิดดูแล้ว ยอดเขาหรือจุดหมายนั้นก็คงเหมือนกับเป้าหมายทุกเรื่องของชีวิตเรา ความใฝ่ฝันบางอย่างอาจลงมือทำแล้วเห็นผลง่ายดาย แต่กับบางเรื่องอาจต้องใช้เวลาเป็นปีๆ กว่าจะเห็นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา อีกอย่างต้นทุนชีวิตก็สำคัญไม่แพ้กัน
ฉันเคยไปเทรคที่ ABC เนปาล แต่หลายคนก็นั่งเฮลิคอปเตอร์ไปลงถึงที่ แสดงว่าบางคนไปถึงเป้าหมายได้เร็วกว่า เจ็บตัวน้อยกว่าเพราะต้นทุนของเขามีมากกว่า แต่ต้นทุนของเราอาจไม่ใช่เงินตรา มันคือพละกำลังและความพยายามที่มันสามารถพาเราไปถึงฝั่งฝันได้เหมือนกัน แถมเราอาจจะเห็นคุณค่าของพยายามมากกว่าด้วย
เพราะงั้นเวลาเรารู้สึกท้อแท้กับอะไรบางอย่าง เราก็จะนึกถึงภูเขาที่เราเดินขึ้นอย่างยากลำบาก ว่าอ๋อ... นี่คงเป็นแค่อุปสรรคระหว่างทาง อีกหน่อยก็จะผ่านพ้น แล้วเราก็จะไปถึงยอดเขาได้!
0 ความคิดเห็น